หลายปีผ่านไปการจัดตั้งหมู่บ้านก็เกิดขึ้นในชุมชนบ้านโตน ซึ่งสมัยนั้นมีนายผอม ไม่ทราบนามสกุล เป็นผู้ใหญ่บ้านโตนคนแรก คนลำดับถัดมา คือ นายไข่นุ้ย นายเกื้อ นายกวน นายลาย นายพูน แก้วเดิม นายไสว คงหนูเกตุ และนายเจิม ศรีอินทร์
นายเจิม ศรีอินทร์ ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านคนสุดท้าย ที่เกษียณอายุในวัย ๖๐ ปีเมื่อปี ๒๕๔๔
เหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง ในตัวบทกฎหมาย ทำให้ผู้ใหญ่บ้านมีวาระ ๔ ปี มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านครั้งแรก ที่จะต้องดำรงตำแหน่งในวาระ ๔ ปี นายประภาส เนียมรัตน์ ได้รับการเลือกตั้งคนแรก
หนำน้อยคอยรัก
พจนานุกรมชีวิต พักพวก เพื่อนฝูง และชมรมอิเล็กทรอนิกส์เมืองลุง
15 พฤศจิกายน 2554
26 ตุลาคม 2554
เรื่องของพ่อที่เขียนไว้(จดหมายเหตุบ้านโตน)
จดหมายเหตุบ้านโตนเขียนขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านหนังสือได้ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ที่นักอ่านหนังสืออยากทราบเรื่องราวที่ผ่านมาของหมู่บ้านในแต่ละยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน และข้อมูลต่างๆของสังคม ข้าพเจ้าผู้เขียนจะพยายามค้นคว้าข้อมูลแต่ละยุคสมัยมาเขียนไว้ให้ละเอียดที่สุด เพื่อผู้อ่านได้เล็งเห็นถึงความเป็นมาอย่างแท้จริง เพราะตอนนี้ผู้เขียนอายุก็ปาเข้าไป ห้าสิบห้าปีแล้วพอที่จะมีอะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านโตน ไม่ว่าจากการเล่าขานจากคนรุ่นปู่ย่าตายายและประสบการณ์ด้วยตนเองมาโดยตลอด
จากการเล่าขานของคนรุ่นแม่เล่ากันว่า เมื่อก่อนพื้นที่ป่าแห่งนี้เป็นป่าดงดิบ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาพันธ์ เพราะเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์และห่างไกลจากตัวเมืองมากมีภูเขาล้อมรอบ พื้นที่ราบมีไม่มากนัก มีสายน้ำลำธารหลายสายจนนับไม่ถ้วน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำ สัตว์ป่านานาชนิด ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้บุคคลเข้ามาอาศัยทำมาหากินกันหลายหมู่เหล่า บุคคลกลุ่มแรกที่เข้ามาที่เข้าทำมาหากินในป่าแห่งนี้ คือกลุ่มคนชาวตำบลกงหรา ซึ่งขณะนั้นตำบลกงหราได้เกิดโรคห่าอย่างร้ายแรงมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เหมือนพวกหนีร้อนมาพึ่งเย็นและมาพึ่งบารมีทวดโตน พร้อมกับสายน้ำอ้นบริสุทธิ์ของคลองโตนที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ที่พวกเขาหวังว่าจะหล่อเลี้ยงพวกเขาได้ชั่วลูกชั่วหลาน จนพวกเขาร่วมมือร่วมใจพลิกผืนป่าแห่งนี้ให้เป็นสวนไร่นาขึ้นอย่างขยันขันแข็ง และได้รับการตอบรับจากผืนป่าแห่งนี้อย่างภาคภูมิโดยเหตุร้ายกรณีเกิดโรคห่าอย่างร้ายแรงก็หายเป็นปลิดทิ้ง พวกเขาได้อาศัยผืนป่าแห่งนี้ทำมาหากินอย่างมีความสุข พวกเขาสามารถสร้างสวนผลไม้ขนาดสามสิบกว่าไร่โดยไร่สวนแห่งนี้ กลุ่มคนเหล่านี้สามารถนำผลผลิตมากินร่วมกัน อันภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า สวนสมลม โดยสถานที่แห่งนี้เรียกว่า บริเวณท่าหัวนอน ที่ดินผืนนี้มีให้เห็นเมือสามสิบกว่าปีก่อน สวนผลไม้แห่งนี้เป็นแหล่งต้นกระกูลของคนบ้านโตนแห่งนี้ใช้เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง เพราะสวนแห่งนี้ทุกคนในหมู่บ้านสามารถกินได้ทุกคน ดูแลทุกคน โดยแบ่งตามเครือญาติไม่มีการซื้อขาย ดังนั้นส่วนแห่งนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสวนทุเรียน เป็นสมบัติชิ้นสำคัญของคนในสมัยนั้นที่คอยเตือนความทรงจำของเครือญาต หลายปีผ่านไปเมื่อประมาณปี ๒๕๕๔ ก็ได้เกิดหมู่บ้านโตนซึ่งมีครัวเรือนจำนวน ๑๗ ครัวเรือนเท่านั้นเอง โดยมีหลักฐานชิ้นสำคัญคือบุคคลสำคัญที่สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆให้แก่ข้าพเจ้า คือ คุณยายขับ ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่เกิดในหมู่บ้านแห่งนี้ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีหมู่บ้านโตนเกิดขึ้นและมีเพียง ๑๗ ครัวเรือนเท่านั้น เป็นหมู่บ้านที่อยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข มีการพึ่งพากันและกันเป็นชุมชนเล็กๆในการดำรงอยู่เพื่อความอยู่รอดเป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน กลุ่มคนเหล่านี้สมัครสมานสามัคคีกัน มีใจอันหนึ่งอันเดียวกัน มีหลักฐานเชิงประจักษ์เมื่อข้าพเจ้าเล็กๆข้าพเจ้าจำได้ดีว่า สวนทุเรียนท่าหัวนอนเป็นสวนทุเรียนที่เป็นจุดรวมศูนย์ของหมู่บ้าน แต่สวนทุเรียนเหล่านี้ก็มีอันมลายไปสิ้นเมื่อปี ๒๕๒๔ ได้เกิดอุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้ารู้จัก ได้เกิดขึ้นทำให้สวนทุเรียนอันเป็นที่รักยิ่งได้หายไปจากหมู่บ้านโตนแห่งนี้ ซึ่งอุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตข้าพเจ้าจะนำมาเล่าในตอนต่อไปครับ.......
จากการเล่าขานของคนรุ่นแม่เล่ากันว่า เมื่อก่อนพื้นที่ป่าแห่งนี้เป็นป่าดงดิบ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาพันธ์ เพราะเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์และห่างไกลจากตัวเมืองมากมีภูเขาล้อมรอบ พื้นที่ราบมีไม่มากนัก มีสายน้ำลำธารหลายสายจนนับไม่ถ้วน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำ สัตว์ป่านานาชนิด ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้บุคคลเข้ามาอาศัยทำมาหากินกันหลายหมู่เหล่า บุคคลกลุ่มแรกที่เข้ามาที่เข้าทำมาหากินในป่าแห่งนี้ คือกลุ่มคนชาวตำบลกงหรา ซึ่งขณะนั้นตำบลกงหราได้เกิดโรคห่าอย่างร้ายแรงมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เหมือนพวกหนีร้อนมาพึ่งเย็นและมาพึ่งบารมีทวดโตน พร้อมกับสายน้ำอ้นบริสุทธิ์ของคลองโตนที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ที่พวกเขาหวังว่าจะหล่อเลี้ยงพวกเขาได้ชั่วลูกชั่วหลาน จนพวกเขาร่วมมือร่วมใจพลิกผืนป่าแห่งนี้ให้เป็นสวนไร่นาขึ้นอย่างขยันขันแข็ง และได้รับการตอบรับจากผืนป่าแห่งนี้อย่างภาคภูมิโดยเหตุร้ายกรณีเกิดโรคห่าอย่างร้ายแรงก็หายเป็นปลิดทิ้ง พวกเขาได้อาศัยผืนป่าแห่งนี้ทำมาหากินอย่างมีความสุข พวกเขาสามารถสร้างสวนผลไม้ขนาดสามสิบกว่าไร่โดยไร่สวนแห่งนี้ กลุ่มคนเหล่านี้สามารถนำผลผลิตมากินร่วมกัน อันภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า สวนสมลม โดยสถานที่แห่งนี้เรียกว่า บริเวณท่าหัวนอน ที่ดินผืนนี้มีให้เห็นเมือสามสิบกว่าปีก่อน สวนผลไม้แห่งนี้เป็นแหล่งต้นกระกูลของคนบ้านโตนแห่งนี้ใช้เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง เพราะสวนแห่งนี้ทุกคนในหมู่บ้านสามารถกินได้ทุกคน ดูแลทุกคน โดยแบ่งตามเครือญาติไม่มีการซื้อขาย ดังนั้นส่วนแห่งนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสวนทุเรียน เป็นสมบัติชิ้นสำคัญของคนในสมัยนั้นที่คอยเตือนความทรงจำของเครือญาต หลายปีผ่านไปเมื่อประมาณปี ๒๕๕๔ ก็ได้เกิดหมู่บ้านโตนซึ่งมีครัวเรือนจำนวน ๑๗ ครัวเรือนเท่านั้นเอง โดยมีหลักฐานชิ้นสำคัญคือบุคคลสำคัญที่สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆให้แก่ข้าพเจ้า คือ คุณยายขับ ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่เกิดในหมู่บ้านแห่งนี้ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีหมู่บ้านโตนเกิดขึ้นและมีเพียง ๑๗ ครัวเรือนเท่านั้น เป็นหมู่บ้านที่อยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข มีการพึ่งพากันและกันเป็นชุมชนเล็กๆในการดำรงอยู่เพื่อความอยู่รอดเป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน กลุ่มคนเหล่านี้สมัครสมานสามัคคีกัน มีใจอันหนึ่งอันเดียวกัน มีหลักฐานเชิงประจักษ์เมื่อข้าพเจ้าเล็กๆข้าพเจ้าจำได้ดีว่า สวนทุเรียนท่าหัวนอนเป็นสวนทุเรียนที่เป็นจุดรวมศูนย์ของหมู่บ้าน แต่สวนทุเรียนเหล่านี้ก็มีอันมลายไปสิ้นเมื่อปี ๒๕๒๔ ได้เกิดอุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้ารู้จัก ได้เกิดขึ้นทำให้สวนทุเรียนอันเป็นที่รักยิ่งได้หายไปจากหมู่บ้านโตนแห่งนี้ ซึ่งอุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตข้าพเจ้าจะนำมาเล่าในตอนต่อไปครับ.......
07 กรกฎาคม 2554
09 มิถุนายน 2554
หลุมของเมืองไทย (เลือกตั้งปีห้าสี่)
เคยคิดมั๊ยครับว่าการที่มนุษย์สักคนเกิดมาแล้วจะต้อง คิด และ ฝัน ในการดำเนินชีวิต ว่ามนุษย์เรานี้อันที่เรียกว่าสัตว์สังคม จะต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านไอ้ไหรมาบ้าง วันนี้มีแฟนๆบอกว่าทำไมไม่คิดเขียนบทความให้เหมือนที่ผ่านมา ตัวกระผมบอกไปว่า เวลามีน้อย และบริหารเวลาไม่ได้ในขณะนี้ว่าจะเสพสิ่งใด หรือจะหยุดการเสพไปเลย แต่ไม่สามารถกระทำได้ จีงมีความจำเป็นต้องเสพสื่อต่างๆเหล่านี้อีกคราหนึ่งเล่าครับ แต่อย่างใดก็แล้วแต่ ชีวิตยังดำเนินต่อไป ผมเคยคิดใหญ่คิดโต ว่าจะสร้างเครือข่ายอาณาจักรแห่งการเรียนรู้ในระบอบประชาธิปไตย ที่เราพึงมีและใช้อยู่ในขณะนี้ ทำอย่างไรให้บ้านเมืองของเราเดินทางไปให้ได้ ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่มีคนเอารัดเอาเปรียบสังคม ไม่มีการรังแกกันและกัน...วันนี้ฝากไว้เรื่องเดียว....ขอให้เรารักกันน่ะครับ บ้านเมืองเราน่าสงสารมากครับ..คนเรายังต้องการการรับรู้อีกมาก คนเรารู้ไม่เท่าเทียมกัน ทำให้ที่เห็นและเป็นอยู่...................
08 มิถุนายน 2554
ชมรมเทควนโด พัทลุง
ชีวิตหยามนี้กะใช้ไปตามปกติคับ แต่อาจมีเวลาในการบันทึกน้อยไปหนิดหนึ่งครับ เพราะมัวแต่ทำหลายภารกิจ ไม่ว่าการปรับตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะต้องเดินทางกลับไปบ้านลุงทุกวันศุกร์ ไม่มีเวลามากมายในการทำงาน กลัวงานประจำจะเสียหายซึ่งช่วงนี้มีงานต้องทำมากมาย ไม่ว่าการเตรียมการตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจำปีห้าห้า การตั้งเครือข่ายในเฟสบุ๊คเพื่อสื่อสารถึงกันและกัน ท่านสามารถหาผมได้ในกูเกิ้ล พิมพ์คำว่า สุเชษฐ์ คงดำ ก็จะพบครับ นอกนั้นเสาร์และอาทิตย์ผมต้องเฝ้าลูกสาวเรียนเทควนโด ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากเมียครับ เอาเท่านี้น่ะครับ ลองเข้าไปแลในยูทูบ คลิ๊กน่ะบัดนี้
http://www.youtube.com/watch?v=AeUaHXGWbIU&feature=mfu_in_order&list=UL
http://www.youtube.com/watch?v=AeUaHXGWbIU&feature=mfu_in_order&list=UL
24 เมษายน 2554
เดอะ คงดำ ในยุคโซเชี่ยนเน็ตเวร์ค
จริงแล้วในโลกแห่งการสื่อสารยุคปัจุบันนั้นได้พัฒนาไปมาก จนบางครั้งคิดว่ามีไว้ทำไม ทำไมเราต้องตามมันด้วย แต่นั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด และ ม้วนตัวลงนอนเพื่อคิด มันก็มาตกลงคำว่า ควรทำอะไรสักอย่าง ที่ควรจะกระทำ โดยส่วนตัวผมนั้นไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักเรื่องทีตั้งแต่เกิดมา มันก็น่าเศร้าใจไม่น้อย คนอะไรทำตั้งหลายเรื่อง แต่ไม่ได้สักเรื่อง ................แต่ก็ไม่ท้อครับ มาวันนี้มีโปรเจ็กซ์ใหม่มานำเสนอ คิดว่าจะได้เรื่องรึปล่าวไม่แน่ใจ แต่ลองทำดูครับ...........รวม thekongdumในโลกออนไลท์เข้าไว้ด้วยกัน เอากันตามที่พอมีเพื่อรวบรวมไว้..................................ติดตามหาเทือกเขาเหล่ากอกันต่อไป......เริมน่ะบัดนี้ครับ.
คนที่หนึ่ง นายสุเชษฐ์ ตงดำ บุตรนายชิต คงดำ ที่อยู่ ตำบลลำสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
คนที่หนึ่ง นายสุเชษฐ์ ตงดำ บุตรนายชิต คงดำ ที่อยู่ ตำบลลำสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)